เรื่องเล่าชีวิตในรั้ว มฟล. ของ ดร.อัฏฐพล อิสสระ ศิษย์เก่ารุ่นที่ 11 สาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร

ประสบการณ์ที่ดีๆ สิ่งเหล่านี้จึงอยากแชร์ – เล่าสู่กันฟัง

< ความสำเร็จจะเกิดจากแรงบันดาลใจเพียงแค่ 1% ส่วนอีก 99% คือการลงมือทำ >

เชื่อว่าหลายๆ คนคงมีประสบการณ์และความทรงจำดีๆ มากมายในแต่ละช่วงเวลาของตัวเราเอง แต่เชื่อเถอะ มีช่วงเวลาหนึ่งที่เราได้สุดๆ กับมันเลยนั่นก็คือ “ชีวิตที่อิสระกับการค้นหาตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัยในแบบฉบับชิคๆ ครับ”

ก่อนอื่นเลยขอแนะนำตัวแบบคร่าวๆ ก่อนนะครับ ชื่อ อัฏฐพล อิสสระ (หรือจะเรียกง่ายๆ ก็ พี่บอม อก. ละกันคับ 555+) ผมเป็นศิษย์เก่ารุ่นที่ 11 ของสำนักวิชาอุตสาหกรรมเกษตร (อก.) สาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร (ชื่อในสมัยนั้น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นชื่อสาขาในปัจจุบันคือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร) ผมเป็นเด็กจากเมืองสองแควครับ (พิษณุโลก) ก็มีแต่คนถามว่าทำไมไปเรียนไกลบ้าน มน. ก็มีใกล้ๆ ทำไมไม่เลือก ก็นะตอบได้สั้นๆ เลยครับว่าอยากมีอิสระไปอยู่ไกลๆ บ้าน 555+ ช่วงเวลานั้นเลยเลือกจะลองสอบเข้าที่ อก. ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ในรอบโควตา 17 จังหวัดภาคเหนือ จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาเรียนรู้อย่างเต็มตัวตามที่ได้เลือกไว้… แน่นอนครับการเข้ามาเรียนสาขาวิชานี้ยังคงเป็นที่สงสัยอย่างมากกับคนรอบข้างตัวเรา ณ เวลานั้น ว่าเรียนอะไรกันแน่ จบไปทำงานอะไรได้บ้าง เรียนยากไหม บลาๆๆ โอ้โหหหห!! ไหนจะยังเจอกับประโยคที่ว่า มฟล. อยู่เชียงใหม่นี่ไม่ใช่เชียงรายอีก ยิ่งถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงนั้น มฟล. และเชียงรายก็ยังไม่ได้มีอะไรที่ดูน่าตื่นตา ตื่นใจอะไรแบบในปัจจุบันนี้หรอกครับ…. เชื่อเลยครับว่าหลายคนที่เรียนในสายนี้ก็คงเจอคำถามเหล่านี้กับตัวเองมาไม่มากก็น้อยเช่นกัน จนวันนี้ก็ยังคงต้องพยายามตอบและอธิบายอย่างสังเขปกันต่อไป 555+

หลังจากได้มีโอกาสเข้ามาเรียนแล้ว โอ้โหหหห ยาวๆ อีกรอบ!! ตั้งแต่ปี 1 จนถึงปี 4 ตารางเรียนเหมือนไม่เคยรู้จักกับคำว่าวันหยุดกับเค้าเลยครับ 555+ แน่นด้วยเนื้อหา และแลปภาคปฏิบัติอะไรขนาดน๊านนนน @_@ (ไหนจะมีกิจกรรมต่างๆ ในช่วงที่เป็น fresher ทั้งของทางมหาวิทยาลัยและของสำนักวิชา) แถมยังต้องเรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์อีกกกก (>.<)’’ ตอนนั้นเกรดที่ได้ก็อยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า “เป็นเกรดนิยม” สะด้วย จนมีความคิดที่ว่า “นี่เรามาเรียนพร้อมเพื่อนแต่จะจบพร้อมแพทย์หรือเปล่านะ??” แต่ในความเข้มข้นทั้งทางด้านวิชาการและกิจกรรมต่างๆ นั้น ก็ส่งผลดีต่อตัวเราเองอย่างมากด้วยเช่นกัน ทั้งการแบ่งเวลา การเรียนการทำงาน การเข้าสังคม รวมถึงการรับผิดชอบตัวเองในทุกๆ เรื่องเลยทีเดียว ยิ่งมาอยู่ไกลบ้านแล้วเรื่องเหล่านี้ก็กลายเป็นปัจจัยหลักที่ต้องตระหนักอย่างมากเลยหล่ะครับ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาปรับตัวกันระยะนึงเลยทีเดียว 😀 (ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละคนเลย) นอกจากนี้ช่วงเวลาปี 3 และ 4 นั้นตัวเรียนของสาขาวิชาจะค่อนข้างเข้มข้นมากเลยทีเดียว เพื่อให้เราพร้อมที่จะนำความรู้ ความสามารถที่สั่งสมมาออกไปใช้ข้างนอกรั้วมหาวิทยาลัยตามสถานที่ฝึกงานในที่ต่างๆ หรือจนกระทั่งจบไปได้เข้าทำงานตามที่เราตั้งใจไว้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง ในส่วนนี้ต้องขอบคุณเหล่าบรรดาอาจารย์ กุนซือทุกท่านของสำนักวิชาจริงๆ ครับ ที่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ แบบไม่มีคำว่ากั๊กไว้เลย… อย่างไรก็ตามครับในช่วงปี 4 เทอมสุดท้ายจะมีรายวิชาปัญหาพิเศษ (Special problem) ของทางสำนักวิชา (หรือที่เราทุกคนคุ้นเคยและได้ยินกันบ่อยๆ ว่าโปรเจคก่อนจบนั่นเอง) และเด็กปี 4 ทุกคนก็จะต้องผ่านไปให้ได้ ซึ่งผมเองก็ผ่านมาแบบสมบุกสมบัน ล้มลุกคลุกคลานกันมาเลยทีเดียวครับ 555+ (เอาหน่า! นี่ยังแค่เริ่มต้นเอ๊งงงง >.<)

จากนั้นในภาคการศึกษาสุดท้ายของปี 4 ผมมีโอกาสได้รับทุนไปศึกษาแลกเปลี่ยนที่ University Sains Malaysia เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย (ในตอนนั้นเค้าเรียกกันว่าทุน MIT: Malaysia, Indonesia, and Thailand) ซึ่งเป็นการไปเปิดโลกทัศน์ครั้งแรกของชีวิตในต่างแดนเลยครับ ช่วงเวลานั้นก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายเลยจากที่นั่น ได้รู้จักเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ อาจารย์ใหม่ๆ ที่ได้ไปสังกัดในภาควิชา Technology industrial (สาขา Food Technology) เพื่อศึกษาค้นคว้าทำวิจัยตามที่ได้รับมอบหมายในแต่ละหัวข้อวิจัยเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ภาคการศึกษา…จากนั้น ด้วยความที่ยังอยากค้นหาตัวตนของตัวเองเพิ่มเติมว่าเราพร้อมและอยากออกไปเจอโลกการทำงานแบบจริงจังหรือไม่ หรืออยากศึกษาเล่าเรียนขั้นสูงๆ ต่อไป ก็เลยตัดสินใจยื่นเรื่องขอไปฝึกงานที่โรงนมหนองโพ จังหวัดราชบุรี ต่ออีกเป็นเวลา 1 ภาคการศึกษา จำได้เลยครับว่าตอนนั้นเพื่อนๆ ที่ไปแลกเปลี่ยนทุกคนในรุ่นเดียวกันไม่มีใครบ้าทำตามหรอกครับ (เรียกได้ว่าเป็นคนบุกเบิกคนแรกของสำนักวิชาเลยก็ว่าได้ 555+) เนื่องจากจะเสียเวลาไปเปล่าๆ 1 เทอม บวกกับตอนนั้นก็ทำให้อาจารย์ที่ดูแลเรื่องฝึกงานของนักศึกษาปวดหัวอยู่พักนึงเลยเหมือนกันกับความบ้าบิ่นของตัวเองในการดำเนินการจัดการเตรียมเอกสารหลายอย่างกับทางมหาวิทยาลัย 555+ แต่นั่นแหละครับอาจจะดูเหมือนเสียเวลา แต่ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้กลับมามันคุ้มค่ากว่าเวลาที่เสียไปแน่น๊อนนนนน!! (ก็ยังเชื่อว่าจะเป็นแบบนั้น 555+) พอได้เข้าไปฝึกงานอย่างจริงจัง (แต่ก็มีเล่นบ้างตามภาษาวัยเด็กในตอนนั้น ^O^) ก็ทำให้ได้รู้ว่าตัวเองยังไม่พร้อมจริงๆ กับการทำงานในแบบที่ต้องเจอสภาพการใช้ชีวิตแบบหนุ่ม-สาวโรงงานที่เคยไปสัมผัสมา ก็เลยตัดสินใจแน่วแน่ไปเลยว่าจะเรียนต่อขั้นต่อไป และก็ได้เลือกเรียน ป.โท ต่อสาขาวิชาเดิมที่ มฟล. บ้านแดง-ทองหลังเดิมนั่นเองครับ…

ช่วงชีวิตการเรียน ป. โท อีก 2 ปีถัดมาหลังจากที่ตัดสินใจเรียนต่อยาวๆ ที่บ้านหลังเดิมนั้น เหมือนทุกอย่างต้องปรับตัวเพิ่มเข้าไปอีกเป็นสองถึงสามเท่าตัวเลย เพราะเราเริ่มโตขึ้นมาอีกระดับ ดังนั้นการรับผิดชอบตัวเองต่อการเรียนที่เจาะจงและลงลึกลงไปในสาขานั้นๆ ไหนจะต้องเริ่มเขียนโครงร่างวิทยานิพนธ์ที่เป็นจริงเป็นจัง แก้แล้ววววว แก้อีกกกก จนได้เข้าสู่กระบวนการสอบโครงร่าง บางทีก็ท้อกันไปเลยก็มีครับ เคยนั่งเสียน้ำตาอยู่ในห้องคนเดียวเป็นเวลาวันสองวันเลย เคยเฟลไปจนถึงการขอเปลี่ยนหัวข้อวิจัยก็ผ่านมาแล้ว คิดทบทวนว่าทำไมเราเลือกมายืนจุดนี้เพื่ออะไร แต่แล้วหลังจากตกผลึกทางความคิดได้ระดับนึงก็เลยฮึดสู้และบอกกับตัวเองว่าเราทำได้ เพราะเราเลือกมาแล้วนี่ก็ต้องทำให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง!! พอผ่านตรงนั้นไปได้ จากนั้นก็มีแลปที่ต้องลุยกันตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ บางครั้งก็ยาวไปจนถึงเช้าอีกวันก็มีครับ อย่างไรก็ตามผมก็ยังคงใช้ชีวิตให้ balance ตามเคยครับ 555+ ทั้งเที่ยว ทั้งสังสรรค์ ตามปกติเมื่อมีโอกาสจนเคยมีคติประจำใจแบบขำๆ ว่า “อย่าให้การเรียนและแลปมากระทบกับเรื่องเที่ยว 😀” (ตรงนี้มั่นใจเลยว่าอาจารย์ทุกท่านในสำนักวิชาน่าจะรู้ไลฟ์สไตล์แบบชิวววว ของพี่บอมกันเลยทีเดียว // แต่บางครั้งบางเวลาเราก็มีโหมดก็เคร่งขรึมและจริงจังอยู่นะ ถึงจะมีไม่บ่อยก็เถอะ 555+) จนกระทั่งได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์รอบสุดท้าย โอ๊ะ! O_O ตอนนั้นคิดแค่อย่างเดียวเลยครับ อะไรจะเกิดก็เกิด ถาม-ตอบ ได้ไม่ได้ก็จะยิ้มสู้กับกรรมการสอบในห้องสอบไว้ก่อนครับ ได้แต่ภาวนาว่าขอผ่านไปเถอะ อยากจบแล้วววววว พอแล้วววววกับสายนี้!! (- -‘’) ฮ่าาาา แต่โชคก็เข้าข้างอยู่บ้างครับเลยสอบผ่านมาได้แบบ งงๆ แต่ก็แก้แล้วแก้อีกตามฉบับการเรียนสายวิชาการนั่นแหละครับกว่าจะได้งานวิจัยชิ้นนึงที่มีคุณภาพและสมบูรณ์แบบในระดับนึงออกสู่สังคมในแวดวงการศึกษา…

หลังจากนั้น ช่วงปลายปี 2014 ก็ได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิตอีกรอบนึงหลังจากที่สอบจบโทอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับโอกาสที่ดีอีกครั้งจากทางสำนักวิชากับการเดินทางไปแลกเปลี่ยนศึกษาค้นคว้าวิจัยในต่างแดนอีกครั้งช่วงต้นปี 2015 ที่ Sejong University กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ (ที่จริงเกือบจะได้ไปที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ด้วยดวงนำพาจะให้ได้ไปสัมผัสกับดินแดนโสมและกิมจิแทน J) เป็นระยะเวลาประมาณ 2เดือน ในตอนนั้นไม่มีข้อมูลอะไรเลยในหัวที่เกี่ยวกับประเทศนี้เลยครับ ไหนจะต้องมารอลุ้นกับการตรวจคนเข้าเมืองที่ขึ้นชื่อลือนามเหลือเกินกับ ตม. ของประเทศนี้!! ลุ้นทุกวินาที ใจเต้นแรง เหงื่อตกอยู่พอสมควรเลยครับ แต่ต้องนิ่ง!! 555 ก็ยังโชคดีที่ผ่านมาได้แบบไม่มีปัญหาอะไร นึกว่าจะถูกส่งตัวกลับประเทศไปแบบงงๆ สะแล้ว =*= จนกระทั่งได้มาพบกับ Professor ที่ต้องดูแลเราและเพื่อนๆ ในแลป ทุกคนถามว่ารู้อะไรบ้าง ทำไมถึงเลือกมาที่เกาหลี บลาๆๆ นี่ยิ้มๆ ตอบไม่ได้เลยตอบได้แค่รู้จักแต่แดจังกึมครับในตอนนั้น 555+ (ในสมัยนั้นซีรี่ย์เรื่องนี้ก็โด่งดังตีตลาดในไทยเราไม่ใช่น้อย) มันเป็นความ first impression ระหว่างกันเลยครับในตอนนั้นจนเป็นความทรงจำดีๆ มาถึงปัจจุบัน ระหว่างที่ใช้ชีวิตระยะสั้นอยู่ที่นั่นก็ได้สัมผัสและเจอ culture shock มากมายต่างๆ นานา จริงๆ ครับ แต่ในใจก็ท่องไว้เสมอว่าเข้าเมืองตาหลิ่วเราต้องหลิ่วตาตามเน้ออออ (^_^) และในที่สุดผมก็ได้รับอากาสที่ดีอีกครั้งในชีวิตนี้สำหรับการทาบทามให้ทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาเอกจาก Professor ของแลปที่ไปสังกัดมา บอกเลยว่าตอนนั้นไม่เคยคิดว่าจะได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้อย่างคนอื่นเค้าเหมือนกันครับ กะแค่ว่า เหอะๆ จบโทแล้ววว จะไปแลกเปลี่ยนขำๆ เพื่อไปท่องเที่ยวปลดปล่อยวิถีชีวิตอันเก็บกดก็โอเคแล้วววว 555+ แต่ไหนๆ ก็มีโอกาสแล้วในใจอีกมุมนึงเลยคิดว่า เอาวะ!! ลองดูกับสายนี้อีกรอบจะเป็นไรไป ที่ผ่านมาเรายังทำได้เลย (ข่มใจกับความกลัวในตอนนั้นอย่างมากอยู่เหมือนกันว่าจะเลือกหรือตัดสินใจผิดไหมนะ หรือถ้าออกมาทำงานแบบเพื่อนคนอื่นอาจจะดีกว่าหรือเปล่า?) หลังจากชั่งใจ หาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งขอคำปรึกษาจากอาจารย์หลายๆ ท่าน จากรุ่นพี่หลายๆ คนอยู่เป็นเวลาเกือบเดือนแล้ว สุดท้ายก็เลยเตรียมตัวเตรียมเอกสารทุกอย่างที่จำเป็นอยู่ระยะเวลาเกือบครึ่งปีเลยทีเดียว และก็ได้กลับไปศึกษาเล่าเรียนที่บ้านต่างแดนอีกหลังอีกเป็นระยะเวลา 3.5 ปี จนประสบความสำเร็จกลับมาในวันนี้อย่างภาคภูมิใจในตัวเราเองครับ ว่าครั้งหนึ่งเราก็ทำมันได้แล้วนะ เราชนะความกลัวเราได้แล้ว ในส่วนของการเรียน การศึกษาค้นคว้าทำวิจัยในระดับสูง บลาๆๆ ในระหว่างอยู่ที่เกาหลีนั้น ผมจะขอ skip ไปก่อนนะครับ (ไว้ถ้ามีโอกาสเอาไว้เล่าสู่กันฟังแบบละเอียดกับไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่และการเรียนการทำงานของคนเกาหลีที่ได้ลองไปสัมผัสมาอย่างลึกซึ้งในคอนเท้นท์ต่อๆ ไปละกันนะครับ ^^) —> แต่จะขอให้นิยามไว้ 3 คำอย่างครอบคลุมและเข้าใจง่ายที่สุดละกันครับว่า “มัน สุด มาก!!” ในระดับที่ว่าเมื่อมองย้อนกลับมาแล้ว อื้มมมม ป.ตรี และ ป.โท ที่ผ่านมาดูเบาบางลงไปทันทีเลยแหละครับ 5555555+

ต้องขอขอบคุณทางอาจารย์ทุกท่านจากสำนักวิชาอุตสากรรมเกษตร โดยเฉพาะสาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่ได้นำพาและมอบโอกาสดีๆ มากมายให้กับนักศึกษาในแต่ละรุ่นอย่างต่อเนื่องครับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีตัวผมเองที่ได้รับโอกาสที่ดีเหล่านั้นมา โดยเฉพาะการที่ได้ไปแลกเปลี่ยนในต่างแดน ได้เรียนรู้ประสบการณ์หลายอย่างแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน อาจจะมีทั้งดีมากและดีน้อยปะปนกันไปครับ แต่เชื่อเถอะว่าทุกอย่างนั้นคือการเรียนรู้และค้นหาตัวตนในฉบับของเราในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างสมบูรณ์แบบกันเลยหล่ะครับ จากที่ได้เล่าสู่กันฟังมาเบื้องต้นแล้ว หลายๆ คนคงเห็นแล้วว่าผมเป็นสายเรียนต่อยาวๆ มาโดยตลอด ซึ่งอาจจะมีมุมที่ได้เจออะไรที่แตกต่างจากคนอื่นที่จบไปแล้ว และได้เข้าทำงานในตำแหน่งหรือองค์กรต่างๆ อย่างมาก อย่างไรก็ตามครับผมก็อยากให้ทุกคนตั้งเป้าหมายให้กับตัวเราเองไว้เบื้องต้นก่อนเสมอว่าเราอยากจะทำอะไร หรือเป็นอะไรในอนาคตอันใกล้ และเมื่อมีโอกาสเข้ามาในทุกๆ ครั้ง จงทำตัวเองให้พร้อมตลอดเวลาและเปิดใจรับมัน และทำมันอย่างเต็มที่ที่สุดก็พอครับ…

สุดท้ายนี้อยากจะฝากข้อคิดให้ลองนำไปเป็นแนวทางดูครับสำหรับหลายๆ คนที่อาจจะเคยเฟลกับหลายๆ เรื่องมาในระหว่างการค้นหาตัวตนไม่ว่าจะในรั้วของมหาวิทยาลัยหรือที่อื่นๆ และแน่นอน ไหนๆ ผมก็มาทางสายวิทยาศาสตร์อย่างเต็มตัวแล้ว ก็อยากจะให้ลองเก็บข้อคิดแบบนักวิทย์นี้ไว้ให้กำลังใจตัวเราเองในทุกๆ ครั้งละกันครับว่า –> เราไม่เคยผิดพลาด เราแค่ได้เรียนรู้และค้นพบวิธีที่ยังไม่ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นอีกตั้ง 1 วิธีเท่านั้นเอ๊งงง <– ไงหล่ะครับ ฟังดูแล้วก็มีกำลังใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมหล่ะ!! ฮึบบบ!! 555+
หวังว่าจะได้มีโอกาสมาแชร์และเล่าประสบการณ์ต่างๆ สู่กันฟังในแบบจำเพาะเจาะจงกับคอนเท้นท์ต่อๆ ไปในภายภาคหน้านะครับ

Warm wishes
Utthapon Issara (Ph.D.)