เรื่องเล่าชีวิตในรั้ว มฟล. ของนางสาวกุลธิดา คณิตศาตรานนท์ บัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 2 สาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร สำนักวิชาอุตสาหกรรมเกษตร

 

สวัสดีค่ะทุกคน ทั้งคนที่ตั้งใจกดหรือหลงเข้ามา (ฮา) เราได้รับโอกาสให้เขียนแชร์เรื่องเล่าสบายๆ เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงค่ะ นั่งคิดอยู่นานว่าจะเขียนยังไงให้ออกมาน่าสนใจที่สุด แอบหวังไว้บทความนี่จะพอให้แนวทางหรือความสนุกสนานแก่คนอ่านได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ (ดัดแปลงมาจากการเขียนคำนำสมัยมัธยมค่ะ 55555 ต้องเคยเขียนคำนำแบบนี้กันแน่เลยใช่ไหมคะ)

ดิฉันชื่อ น.ส.กุลธิดา นามสกุล คณิตศาตรานนท์ ชื่อเล่น เตย รหัสประจำตัวนักศึกษา 5631401005 สำนักวิชาอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร มาจากจังหวัดปทุมธานีค่ะ (คุ้นๆ ไหมเอ่ย 55555) จุดเริ่มต้นของการเป็นนักศึกษาที่นี่คงต้องขอเล่าย้อนไปตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เพราะเป็นช่วงสับสนมากๆ ของเรา ขณะที่เพื่อนๆ รู้ตัวหมดว่าอยากเข้าคณะอะไรแต่เรากลับไม่รู้ ยอมรับว่าเคว้งมาก ตอนเด็กๆเคยอยากเป็นครูแต่มารู้ตัวทีหลังว่าไม่ชอบเด็ก โตขึ้นมาหน่อยอยากเป็นหมอแต่กลัวอดนอน ต่อมาอยากเป็นสถาปนิกเพราะคิดว่าตัวเองชอบวาดรูป (และเลือกตามเพื่อน) เคยไปเรียนความถนัดทางสถาปัตย์อยู่หลายคอร์ส แต่เห็นความสามารถตัวเองแล้ว…พอดีกว่า แล้วจะเป็นอะไรดีล่ะ มาคิดได้ว่าตัวเองเป็นคนชอบสัตว์มาก ชอบทุกอย่าง ตั้งแต่หมา แมว นก ชอบม้า ชอบช้าง ชอบปลา แล้วความฝันสมัยเด็กอีกอันที่เกือบลืมไปแล้วก็เด้งกลับเข้ามา เราอยากเป็นสัตวแพทย์ค่ะ แต่หลังจากปรึกษากับที่บ้าน เขาอยากให้เรียนคณะที่สามารถนำมาช่วยงานที่บ้านได้ (บ้านเราทำส่งออกผักผลไม้ค่ะ) คุยกันไปหลายรอบจนมาจบที่คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ตอนนั้นเราเลยตัดสินใจว่าในเมื่อเลือกคณะที่เรียนไม่ได้ งั้นก็ขอเลือกมหาวิทยาลัยที่จะเรียนแทนแล้วกัน 555555 ด้วยความที่เราชอบเรียนภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิม ลองหาจากหลายๆ ที่จนสุดท้ายก็เลือกที่นี่ค่ะ (ได้ทั้งภาษา ได้ทั้งเที่ยว ติดปีกเลยค่ะ 5555)

จนกระทั่งเข้าเรียนปีหนึ่ง ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้นไปหมดสำหรับเรา เพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ สภาพแวดล้อมใหม่ สารภาพว่าลิงโลดมากไม่อยากกลับบ้านเลย โฮมซิกคืออะไรชั้นไม่รู้จัก 555555 ตอนแรกก็หวังไว้ว่าเข้ามหาลัยแล้วจะสบาย เรียนน้อยๆ เวลาว่างเยอะๆ แต่ที่ไหนได้… เรียนแปดโมงเช้า เลิกสี่ห้าโมงเย็นทุกวัน มีทั้งเลคเชอร์ มีทั้งเข้าแลป แถมยังต้องส่งรีพอร์ตแต่ละแลปอีก เวลาหลังเลิกเรียนก็ต้องเข้ากิจกรรมรับน้องกว่าจะเลิกก็ค่ำๆ เหนื่อยค่ะเหนื่อยมาก วันหยุดทีนี่ไม่อยากทำอะไรเลยนอกจากนอน 5555 แต่ตอนนั้นก็ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่าเราต้องรับผิดชอบตัวเองให้ดี แบ่งเวลาให้ได้ รู้สึกเหมือนตัวเองต้องโตขึ้นอีกก้าวหนึ่ง ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าต่อให้ทำกิจกรรมเยอะแค่ไหนเกรดก็ต้องห้ามต่ำกว่า 3.00 แล้วเราก็ทำได้ค่ะ เย้

พอขึ้นปีสองการเรียนก็ยากขึ้น เพื่อนหลายคนก็หายไป แอบใจหายเหมือนกัน แต่เราก็ยังต้องทำหน้าที่ของเราต่อไปเนอะ ปีนี้เริ่มมีเรียนวิชาเมเจอร์บ้างให้พอเตรียมใจได้ว่าต่อไปอีกสองปีต้องเจอกับอะไร แต่สิ่งที่น่าแปลกใจมากๆ คือถึงจะเรียนหนัก นอนไม่พอ กิจกรรมเยอะแค่ไหน แต่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นๆ ตั้งเกือบสิบกิโล สงสัยที่เขาบอกกันว่ายิ่งเครียดจะยิ่งกินคงเป็นความจริงค่ะ (ฮา)

ปีสามเป็นปีที่หนักที่สุดในความคิดเรา เพราะเรียนหนักมาก ถึงจะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมแล้ว แต่การเรียนวิชาสาขาที่เข้มข้นมากๆ ก็ทำเอาเหนื่อยไม่แพ้สองปีแรก ปีนี้ต้องเข้าแลปหลายตัวมาก มีรีพอร์ตให้ทำแทบทุกวิชา กว่าจะทำแลปเสร็จ กว่าจะ discuss ผล แล้วยังมีให้พรีเซ็นท์หน้าห้องอยู่เรื่อยๆ อีก แถมด้วยความที่เราอยากไปทำแลปที่ญี่ปุ่นในช่วงซัมเมอร์ทำให้เราต้องเตรียมทำโปรเจคจบเร็วกว่าเพื่อนๆ (มันคือชื่อเล่นของวิชา Special problem ที่ปกติจะเริ่มทำตอนปีสี่เทอมหนึ่งค่ะ) เพื่อที่จะให้ทันเอาตัวอย่างไปทำต่อที่นู้น ซึ่งกว่าจะได้ตัวอย่างมาเรากับพาร์ทเนอร์ก็เครียดกันจนอยากร้องไห้ไปหลายรอบ ความเห็นไม่ตรงกันบ้าง งอนกันบ้าง ตีกันบ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีค่ะ (อยากบอกว่ารักนะจ๊ะ ดีใจมากที่เราไม่เลิกคบกัน แง้)

ช่วงซัมเมอร์ปิดเทอมปุ๊บก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปญี่ปุ่นปั๊บเลยค่ะ ตื่นเต้นมากเพราะเป็นการไปต่างประเทศเองคนเดียวครั้งแรก ตอนอยู่บนเครื่อง กรอกใบตม.ไม่เป็น ก็ต้องถามคนที่นั่งข้างๆ ลงเครื่องรอเซนเชย์มารับ ก็กลัวหากันไม่เจอ นั่งรถไฟไปเที่ยวคนเดียวก็หลงทาง ไปซื้อของก็ฟังเขาพูดไม่รู้เรื่องต้องใช้ภาษามืออย่างเดียว (คนญี่ปุ่นไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษค่ะ) แต่แลกกับการได้ไปเที่ยวและลองใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่ชอบก็คุ้มค่ามากๆ แล้วค่ะ เซนเซย์ดูแลดีมาก พาไปกินราเม็ง พาไปเที่ยว Aquarium ด้วย อ.โทนี่กับอ.จอยก็ช่วยเหลือตลอด ตอนไปแรกๆ ยังไม่รู้จักกับใคร อ.โทนี่ก็พาไปศาลเจ้า แล้วก็ไปตลาด Ameyoko ที่อูเอโนะด้วย (แอบกระซิบว่าหลังจากครั้งนั้นเราก็ไปเองเกือบทุกอาทิตย์เลยค่ะ 555555) เพื่อนคนไทยจากแลปข้างเคียงก็ใจดีค่ะ ทำให้เราไม่เหงาเลย ไปกินซูชิสายพาน ปิ้งย่าง เท็นด้ง (ข้าวเท็มปูระ) ไปซื้อของใช้ต่างๆ ไปดูดอกไม้ไฟ ช่วยดูผลแลปให้ด้วย (ตอนนั้นผลแลปแปลกประหลาดจน discuss ไม่ได้ เครียดมากกกก) ส่วนเพื่อนคนญี่ปุ่นในแลปเดียวกัน ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงคนเดียวก็เลยเกร็งๆบ้างแต่เขาก็พยายามชวนคุย พาไปกินข้าว ให้ยืมจักรยาน พาไปกินเค้ก แถมสอนภาษาญี่ปุ่นให้อีก การที่ได้ไปทำแล็ปที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งประการณ์ดีๆ ในชีวิตเราเลย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สนุกมาก ถึงตอนแรกจะเหงาหน่อยเพราะยังไม่รู้จักใคร แต่พอได้เจอทั้งเพื่อน รุ่นพี่ และอาจารย์ก็ทำให้การใช้ชีวิตที่นั่นมีความสุขมากๆ ทุกคนดูแลดีและช่วยเหลือเราเยอะมาก แม้ว่าผลแล็ปจะเฟลแล้วเฟลอีก เฟลจนกระทั่งวันเดินทางกลับก็ตาม (ฮา)

 

 

กลับมาถึงไทยได้ไม่กี่วันก็ขึ้นปีสี่แล้วค่ะ เทอมหนึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนทุกต่างวุ่นวายกับโปรเจคของตัวเอง ขณะที่เพื่อนๆ ดูยุ่งมากๆ แต่เรากลับว่าง เลยถือโอกาสเที่ยวทั่วจังหวัดเลยค่ะ ขึ้นดอยนู้นภูนี้ ไปเชียงใหม่บ้าง นอนเล่นอยู่ห้องบ้าง รู้สึกว่าใช้ชีวิตนักศึกษาคุ้มที่สุดก็เทอมนี้แหละค่ะ 555555 แต่ก็ยังต้องทำโปรเจคและเข้าเรียนเหมือนเดิมนะคะ วิชาเมเจอร์ก็ยังยากเหมือนเดิม การพรีเซ็นท์โปรเจคที่ตั้งใจทำกันมาตลอดทั้งเทอมก็ไม่ใช่ง่ายๆ ยิ่งเวลาอาจารย์แต่ละท่านตั้งคำถาม เราถึงกับหลุดเอ๋อไปหลายครั้ง 5555555555 พอเทอมสองก็ถึงเวลาฝึกงาน เราเลือกฝึกงานแบบสหกิจศึกษาก็คือฝึกงานตอนปีสี่เทอมสองค่ะ ตอนที่ต้องเก็บของกลับบ้านนี่ใจห่อเหี่ยวมาก ยิ่งเห็นเพื่อนทยอยกลับบ้านทีละคนๆ ก็ยิ่งเศร้า แต่งานเลี้ยงใดๆ ย่อมมีวันเลิกราค่ะ จำได้ว่าวันนั้นที่อาจารย์มานิเทศน์ที่สถานที่ฝึกงานเราดีใจมากค่ะ ความรู้สึกเหมือนแม่มาเยี่ยมลูกที่โรงเรียนประจำ 55555555 แต่กว่าจะสามารถพูดได้เต็มปากว่าเรียนจบแล้วจริงๆ ก็คงหนีไม่พ้นการสอบ Exit Exam ให้ผ่านค่ะ ใครไม่ผ่านก็ไม่สามารถรับปริญญาได้ ซึ่งการสอบจะแบ่งเป็นสี่วิชา คือวิชาโลกาภิวัฒน์ วิชาภาษาอังกฤษ วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสุดท้ายวิชาเมเจอร์ที่รวมสาระสำคัญของภาควิชาที่เรียนมาตลอดสี่ปีมาออกสอบ ซึ่งวิชาเมเจอร์นี้เป็นที่กล่าวขวัญหวั่นวิตกกันมากในหมู่นักศึกษาค่ะ กว่าเราจะผ่านมันไปได้ก็หลายรอบอยู่เหมือนกัน น้ำตาจะไหล เสียดายค่าสอบ (อ่ะล้อเล่นนน 555555)

จะว่าไปแล้วสี่ปีผ่านไปเร็วมากเลยนะคะ ต้องขอบคุณพ่อกับแม่ที่ไว้ใจ ขอบคุณอาจารย์ที่เคารพทุกท่านที่ช่วยสั่งสอน แนะนำแนวทางและให้ข้อคิดเตือนใจมากมาย ขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยช่วยเหลือตลอด ยังรักและระลึกถึงอาจารย์ทุกท่านเสมอค่ะ ขอบคุณพี่ๆ นักวิทย์ที่อดทนดูแลและคอยแก้ปัญหาให้ ขอบคุณพี่ๆ น้องๆ ทุกคน ขอบคุณเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างกัน ขอบคุณที่ทำให้เราได้ลองอะไรใหม่ๆ ตามให้เข้าเรียน ช่วยทำแล็ป ช่วยติวข้อสอบ สอนขี่มอเตอร์ไซค์ ไปเที่ยวด้วยกัน ไปหาอะไรอร่อยๆ กิน นอนดูซีรี่ย์เป็นเพื่อน พาไปคอนเสิร์ต หายามาให้ตอนไม่สบาย และในหลายๆ ครั้งเราเริ่มไม่ไหวแต่พวกเธอก็ช่วยพาเราผ่านมันไปได้

พอนึกย้อนกลับไปเราภูมิใจในตัวเองมากที่ผ่านมาได้อย่างสวยงาม อาจมีท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง ร้องไห้บ้าง แต่ก็มีความสุขมากๆ เช่นกัน เราดีใจที่ตอนนั้นตัดสินใจเลือกเรียนที่นี่ สิ่งที่เราได้รับนอกจากความรู้ก็คงเป็นมิตรภาพดีๆ ความผูกพัน และความทรงจำที่มองย้อนกับมาเมื่อไหร่ก็ทำให้ยิ้มและยิ่งคิดถึงมากๆ เท่านั้นค่ะ

เหมือนอย่างเพลงประจำมหาวิทยาลัยเพลงหนึ่งที่ร้องว่า…หากเรากลับมาที่เดิม ลำดวนก็คงกลิ่นเดิม

“ยังอยากกลับไปเสมอนะ…มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง”